serac

Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

ค้นพบมัสยิดสมัย Sultan Suleiman ในฮังการี


ค้นพบมัสยิดสมัย Sultan Suleiman ในฮังการี
ทีมนักวิจัยฮังการีค้นพบสิ่งสิ่งของเครื่องใช้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการก่อสร้างมัสยิดที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสุลตาน สุไลมาน แห่งอณาจักรออตโตมัน ที่เมือง Szigetvar(ซิกเกตวา)


World Bulletin รายงานว่า ทีมนักวิจัยฮังการีได้ขุดพบซากปรักหักพังของมัสยิดในสมัยออตโตมัน ตั้งอยู่ใกล้กับที่ฝังศพของสุลต่านสุไลมานผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ในภาคใต้ของฮังการีในสมัยนั้น


ดร.Norbert Pap จากมหาวิทยาลัยเพซในฮังการี(University of Pecs in Hungary)ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยที่ทำประกาศการค้นพบดังกล่าวเมื่อวันอังคาร(21 มิถุนายน)
Pap กล่าวว่าเมื่อปีที่ผ่านมานักวิจัยได้ประกาศว่าพวกเขาได้พบหลุมศพของสุลตานสุไลมานที่ถูกฝังในปี 1566 เขากล่าวว่าตอนนี้พวกเขาต้องการที่จะหามัสยิดและ พื้นที่โดยรอบ ดังนั้นการค้นพบล่าสุดจึงเป็นการค้นพบต่อเนื่องจากการศึกษาครั้งก่อน


“จากผลการวิจัยของเรา เราได้พบซากปรักหักพังของมัสยิดขวาถัดไปหลุมศพ” Pap กล่าวว่า
“ตามข้อมูลจากช่วงเวลานั้น Sokullu Mehmed Pasha มหาอำมาตย์ [อัครมหาเสนาบดี] ได้สร้างมัสยิดที่งดงามอยู่ติดกับหลุมศพในซิกเกตวา 
[เมืองในภาคใต้ของฮังการี]” Pap กล่าวเสริมว่าซากที่ค้นพบมีขนาดใหญ่กว่าหลุมศพ และดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับเมืองมักกะห์เมืองที่เป็นที่ตั้งมัสยิดสำคัญในศาสนาอิสลาม
Pap กล่าวว่าความพยายามของทีมวิจัยในการขุดค้นหลุมศพที่ซับซ้อนและมัสยิด มีการดำเนินการด้วยการร่วมมือ สนับสนุนจากตุรกี

สุลต่านสุไลมานเป็นผู้ปกครอง ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของจักรวรรดิออตโตมัน นับเป็นยุคทองของจักรวรรดิยาวนานกว่า 46 ปี นอกเหนือจากการปกครองดินแดนที่กว้างไกลเชื่อมโยงตั้งแต่ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ยังได้มีการตรากฎหมายสำคัญๆ และยังมีการพัฒนาทางด้านศีลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนั้นด้วย

สุลต่านเสียชีวิตในปี 1566 ในระหว่างการล้อมปราสาทซิกเกตวา ตำนานเล่าว่าการตายของเขาถูกซ่อนจากทหารของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาจากการขวัญเสียในระหว่างการต่อสู้ศัตรู
มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ว่าอวัยวะภายในของเขารวมถึงหัวใจของเขาเชื่อกันว่าน่าจะถูกนำออก และฝังอยู่ในพื้นที่ในขณะที่ร่างของเขาถูกนำกลับไปยังเมืองหลวงของออตโตมันที่มันยังคงฝังอยู่ในมัสยิด Suleymaniye หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอิสตันบูล

 ลูกชายของเขา Sultan Selim II ได้ครองราชต่อ และดำเนินการในการสร้างหลุมศพที่ซับซ้อนในการเก็บซ่อนอวัยวะภายในของผู้เป็นพ่อ จนกระทั้งฮังการีถูกกองกำลังชาวยุโรปตะวันตกภายใต้การนำของ Austrian Habsburg เข้ายึดครองในปี 1692


ฮังการียังได้เปลี่ยนชื่อภูมิภาคดังกล่าวเป็น “Turbek” มาจากคำว่าออตโตมัน “turbe” ความหมาย “หลุมฝังศพ”

Evliya Celebi ได้เดินทางมาเยือนภูมิภาคดังกล่าวในปี 1664 ระบุว่าหลุมศพ มัสยิด และสิ่งของสำคัญของอณาจักรออตโตมันยังอยู่ที่นี่
ตามรายงานของ Pap หัวหน้าทีมวิจัยพบว่าประชากรของฮังการีในขณะนั้นมีประมาณล้านคน โดยมีทหารอยู่ประมาณ 20,000 – 30,000 นาย
นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าหน่วยงานที่แข็งแกร่งของทหารประมาณ 100 ได้ให้การคุ้มกันพื้นที่ดังกล่าวหลังจากปี 1680

“ในฐานะที่เป็นทหารมักจะอาศัยอยู่ในเมืองที่มัสยิดถูกสร้างขึ้น อยู่ในเมืองและมีปราสาทภายใน” เขากล่าว


 แต่มีเพียงหลุมศพดังกล่าวพร้อมกับมัสยิดตั้งอยู่นอกเมืองบนที่ดินของฮังการีในช่วงเวลาซึ่งเป็นช่วงของการดำรงอยู่ของสุลต่านในพื้นที่
“ตามสิ่งของที่ค้นพบ พบว่าอยู่ในยุค 1570 เป็นสิ่งของที่มาจากบอสเนียแอนเฮอร์เซโกวีนา” เขากล่าวเสริม

ลองมาดูโชว์เคสของ Happy shopping บน TikTok สิ! https://vt.tiktok.com/ZMhegervu/?page=TikTokShop

 เขากล่าวว่าทีมงานของเขาได้เริ่มแล้วงานขุด และหวังว่าจะก่อให้เกิดผลภายในสัปดาห์ข้างหน้า

กงก์ เมืองสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา

กงก์ เมืองสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา
กงก์ (Conques) เป็นอำเภอของเมืองรอแดซ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ตรงจุดที่แม่น้ำดูร์ดูและแม่น้ำอุชมาบรรจบกัน ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่บนเนินเขาในหุบเขาและเป็นเมืองที่มีถนนแคบและบ้านโบราณที่ยังคงรักษารูปทรงของเมืองในยุคกลางอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นรถคันใหญ่จึงไม่สามารถขับเข้าเมืองได้



การเข้าชมหมู่บ้านจึงต้องทำโดยการจอดรถไว้นอกใจกลางหมู่บ้านและเดิน กลุ่มผู้คนผู้ต้องการอนุรักษ์เมืองสามารถต่อต้านการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่สำเร็จในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้รักษารูปลักษณะของเมืองไว้ได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถนนได้รับการลาดยางแต่สายไฟถูกฝังใต้ดินเพื่อซ่อนไม่ให้เสียลักษณ์



Happy shoppee here
สร้างสรรค์ อิสระเสรีภาพ 
รวบรวมค้นหาสินค้าดีๆเพื่อคุณ

ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ โดยใช้หินปูนที่มีในท้องถิ่นสลับกับหินชีสต์สีเทา หลังคาเป็นโดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนจุดตัดที่ต่อมาพังทลายลงมา และมาสร้างใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 15



  

จากเหตุการณ์เรือดำน้ำขนาดเล็กที่หาผู้โดยสารไปทัวร์ดูซากไททานิคใต้มหาสมุทรแอตแลนติกหายไป


จากเหตุการณ์เรือดำน้ำขนาดเล็กที่หาผู้โดยสารไปทัวร์ดูซากไททานิคใต้มหาสมุทรแอตแลนติกหายไป 

นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่รู้สึกว่ามันลึกลับซับซ้อนมากเลยนะครับสำหรับ
เหตุการณ์เรือดำน้ำขนาดเล็กที่หาผู้โดยสารไปทัวร์ดูซากไททานิคใต้มหาสมุทรแอตแลนติกหายไป อย่างไรร่องรอย ยังไม่รู้ว่าคนในเรือดำน้ำจะเป็นตายร้ายดียังไงหรือคนในเรือดำน้ำยังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มันเป็นอะไรที่ทำให้เกิดความสะเทือนใจนะครับแต่ขอให้ค้นหาเจอโดยเร็วที่สุดก่อนที่ออกซิเจนในเรือดำน้ำจะหมดลง


ล่าสุด ได้มีการออกค้นหา เรือลำดังกล่าวที่หายไป ซึ่งทราบว่าในเรือมีผู้โดยสาร 5 คน คาดว่าผู้ที่อยู่ในนั้นคือมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ Hamish Harding วัย 58 ปี และนักสำรวจชาวฝรั่งเศส Paul-Henri Nargeolet 

#เรือดำน้ำนี้คือเรือดำน้ำอะไร? เรือดำน้ำนี้มีชื่อว่า Titan เป็นเรือดำน้ำของบริษัท  OceanGate Expeditions ก่อตั้งโดย Stockton Rush นักผจญภัยและนักลงทุนชาวอเมริกัน เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เปิดประสบการณ์ใหม่ นั่งเรือเพื่อลงไปดูซากเรือไททานิคที่จมห่างจากชายฝั่ง Newfoundland ของประเทศแคนาดา ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ 370 ไมล์ และลึก 3,800 เมตร ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 1912 หลังชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งระหว่างการเดินทางเที่ยวแรกจากสหราชอาณาจักร ไปยังสหรัฐอเมริกา และมีผู้เสียชีวิต 1,500 คน จากผู้โดยสารกว่า 2,000 คน 


#ซากเรือไททานิค ต่อมาซากเรือนี้ถูกค้นพบเมื่อปี 1985 และได้ขึ้นเป็นแหล่งมรดกโลกของ UNESCO ในปี 2012 

#การท่องเที่ยวสุดหรู OceanGate Expeditions เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้เชี่ยวชาญเดินทางไปใต้น้ำด้วยเรือดำน้ำ Titan ที่บรรทุกคนได้ 5 คน ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียม สามารถดำดิ่งได้ลึกถึง 4,000 เมตร ออกจากเมือง St Johns, Newfoundland ในแคนาดา ราคาเที่ยวเรืออยู่ที่ $250,000 ต่อคน (ประมาณ 8,692,500 บาท) ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ก็มีเปิดให้ท่องเที่ยวนั่งเรือไปใต้น้ำตั้งแต่ปี 2021 แล้ว และทีมสำรวจ OceanGate Expeditions ก็ได้เปิดเผยวิดีโอสุดคมชัดระดับ 8 K ขณะสำรวจซากเรือ Titanic จนเผยให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ที่อยู่บนเรือ

#การเดินทางปี2023ขาดการติดต่อ ในปีนี้ พวกเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวดำดิ่งสู่ใต้น้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 แต่เกิดเหตุการณ์ที่หลายคนไม่อยากให้เกิด เรือดำน้ำได้หายไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ปกติ เรือดำน้ำนี้จะไม่มี GPS ใต้น้ำ ต้องใช้การสื่อสารกับเรือบนบก Polar Prince เพื่อนำทางเรือไปยังซากไททานิค แต่อยู่ ๆ เรือดำน้ำนี้ได้ขาดการติดต่อหลังลงน้ำไปได้ 1 ชั่วโมง 45 นาที 

ตอนนี้หน่วยยามชายฝั่งสหรัฐฯ แคนาดา รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งทางอากาศและในน้ำกำลังเร่งหาและกู้เรือขึ้นมา ซึ่งเรือนี้มีออกซิเจนเพียงพอให้คนข้างในสามารถอยู่ใต้น้ำได้ 96 ชั่วโมง หรือ 4 วัน คาดว่าจะหมดในเช้าของวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ 

ตามเว็บไซต์ของ OceanGate เรือดำน้ำมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า มีเซ็นเซอร์และมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจวัดโหลดและความดัน เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของแรงดันที่เปลี่ยนแปลงบนเรือ ขณะดำน้ำเพื่อประเมินความสมบูรณ์ของยานพาหนะ "ระบบติดตามวิเคราะห์สุขภาพบนเครื่องบินนี้ให้การตรวจจับสัญญาณเตือนล่วงหน้าแก่คนขับแล้ว โดยมีเวลาเพียงพอในการหยุดเคลื่อนเรือลงด้านล่าง และกลับสู่ผิวน้ำอย่างปลอดภัย" เว็บไซต์ของบริษัทระบุ

#ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์สาเหตุเรือขาดการติดต่อ
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจเป็นไปได้มากที่สุดหลายประการ ตั้งแต่การไปติดอยู่ในซากเรือไททานิค ไปจนถึงไฟฟ้าดับ หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบสื่อสารของเรือดำน้ำ อีกกรณีคือตัวถังความดันรั่ว ซึ่งในกรณีนี้กด็อาจเป็นข่าวที่ไม่ดีนัก 


#ผู้ที่อยู่ข้างในไม่สามารถออกมาได้ David Pogue นักข่าว CBS ที่ลงไปกับ Titan เมื่อปีที่แล้วเผยว่า “คนที่อยู่ด้านในไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ แม้ว่าคุณจะขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยตัวเองก็ตาม คุณไม่สามารถออกจากเรือดำน้ำได้ หากไม่มีลูกเรือที่อยู่ด้านนอกเปิดให้คุณออกไป”

Trajan’s Marketห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของโลกโรมัน

ห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของโลกโรมันโบราณ Trajan’s Market
ประวัติศาสตร์
Trajan’s Market  ซากปรักหักพังที่มีขนาดใหญ่ในกรุงโรมที่ในอดีตนั้นเคยเป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นในช่วง ปี ค.ศ. 100 –110  นับว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

ซากปรักหักพังขนาดใหญ่ในกรุงโรมประเทศอิตาลีนี้ตั้งอยู่ที่ Via dei Fori Imperiali ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับ Colosseum  ซึ่งอาคารและโครงสร้างที่ยังคงเหลือให้ได้เห็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Trajan’s Forum และตั้งอยู่ที่บริเวณด้านข้างของส่วนที่ขุดขึ้นมาของเนินเขา Quirinal Hill  ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนนำเสนอถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในเมืองหลวงของกรุงโรมในอดีตและยังเป็นการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ

ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก Trajan’s Market แห่งนี้เป็นที่เชื่อถือกันโดยส่วนมากว่าเป็นสำนักงานบริหารของ Emperor Trajan ร้านค้าและอพาร์ทเม้นที่สร้างขึ้นในโครงสร้างหลายระดับและสามารถเยี่ยมชมได้หลายระดับเช่นกัน  

Trajan’s Market ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 100 – 110 โดย Apollodoris ของดามัสกัส ที่ได้รับมอบหมายในการวางแผนของ Forum และได้เปิดตัวในปี 113 ในปัจจุบัน Trajan’s Market  เป็นที่ตั้งของ Museum of imperial Forum แหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ภายใน  องค์ประกอบโครงสร้างหลักของห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่แห่งนี้ ประกอบไปด้วยอิฐแดงที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีความคอนกรีตที่มีความต่างระดับหกชั้นที่แตกต่างกันออกไป  

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นเปิดตัวขึ้นในปี 2007 ภายในประกอบไปด้วยบ้านเรือนมากมายที่มาจากโบราณวัตถุมากมายทั่วกรุงโรม  มีทางเข้าสู่ตลาด Trajan สมัยใหม่อยู่ที่ Via Quattro Novembre และ Piazza Madonna di Loreto  ที่ตอนท้ายของห้องโถงนั้นมีระเบียงขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของตลาด Trajan’s Forum 
และ Vittoriano ที่ด้านล่างของห้องโถงขนาดใหญ่มีสองห้องซึ่งอาจมีไว้เพื่อใช้สำหรับการออดิชั่นหรือคอนเสิร์ต  ร้านที่ตั้งอยู่ในตลาดเรียกว่า taberna ห้องโถงขนาดใหญ่ของตลาดนั้นถูกครอบคลุมด้วยหลังคาบนเสาคอนกรีตยกสูงที่ช่วยให้แสงและอากาศสามารถเข้ามาในพื้นที่ได้อย่างเพียงพอ

ในการเยี่ยมชม Imperial Forum Museum นั้นคุณสามารถเดินผ่านระดับต่างๆ ของ Mercati di Traiano รวมทั้งสามารถชื่นชมผลงานมากมายที่จัดแสดงให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆ ของ Imperial Forum มีการจัดนิทรรศการที่ประกอบด้วยรูปแบบและวิดีโอที่มาพร้อมกับซากต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่จาก Imperial Forum เพื่อพยายามให้นักท่องเที่ยวและผู้เข้าชมสามารถเข้าถึงอดีตการค้าของกรุงโรมในยุคโรมันโบราณให้ได้มากที่สุด  
แม้สถานที่เที่ยวแห่งนี้อาจจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนักแต่ก็จัดได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมายอาทิเช่น Santa Maria in Aracoeli , Capitoline Museum หรือ Piazza Venezia เป็นต้น

อุลูรู โขดหินลึกลับ โขดหินเปลี่ยนสีเองได้ตอนกลางวันแสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้มีแดง แต่พอตกเย็นสีสันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง

อุลูรู โขดหินลึกลับ โขดหินเปลี่ยนสีเองได้ตอนกลางวันแสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้มีแดง แต่พอตกเย็นสีสันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง

โลกเรานี้มีอะไรที่แปลกประหลาดลึกลับอีกมากมายที่ยังไม่สามารถหาคำตอบปริศนาเหล่านี้ได้ แม้แต่ตำนานต่างๆที่ประกอบเข้ากับลักษณะแปลกประหลาดของวัตถุหรือพื้นที่ต่างๆมันก็ทำเราให้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นและศึกษาความเป็นมา หรือประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ

ทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมมีความเป็นไปได้มันถึงเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกัน
มาวันนี้ผมจะนำเสนอ บทความอีกเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติครับโดยตั้งชื่อว่า

"อุลูรู โขดหินลึกลับ โขดหินที่เปลี่ยนสีเองได้ตอนกลางวันแสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้มีแดง แต่พอตกเย็นสีสันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง"

โขดหินอุลูรู 
(อังกฤษ: Uluru; Pitjantjatjara: Uluṟu) หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า"หินแอร์ส"(Ayers Rock) ชื่ออุลูรูเป็นชื่อทางการซึ่งใช้ในปัจจุบันเป็นภาษาอะบอริจินีโดยเฉพาะภาษาพิทแชนชาชารา ส่วนชื่อหินแอร์สนั้นตั้งตามชื่อ เซอร์เฮนรี แอร์ส นายกรัฐมนตรีของเซาธ์ออสเตรเลีย ซึ่งตั้งไว้ในปี ค.ศ. 1873 โขดหินอุลูรู ตั้งอยู่ในตอนกลางของประเทศออสเตรเลีย 

เป็นโขดหินขนาดใหญ่ที่โผล่จากพื้นดินโดดๆซึ่งสามารถมองเห็นได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร มีขนาดความสูง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร จัดได้ว่าเป็นโขดหินที่ใหญ่ทีสุดในโลก ลักษณะเป็นหินทรายสีแดงเป็นหินอาร์โคส มีปริมาณแร่ฟันม้าหรือแร่เฟลด์สปาร์อยู่มาก

มีสภาพการกัดเซาะของฝนและลมตามธรรมชาติ มีถ้ำและแอ่งน้ำ บริเวณผิวนอกของหินโดนความร้อนจากแสงอาทิตย์ ทำให้เกินผิวนอกแตกหลุดออกเป็นสะเก็ดและร่วมลงมาที่พื้นทับถมกันเป็นกำแพงภูเขาขนาดใหญ่ สีสันของหินเปลี่ยนแปลงตามเวลาซึ่งในแต่ละช่วงมีสีแตกต่างกัน ในตอนกลางวันแสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้มีแดง แต่พอตกเย็นสีสันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง

การกำเนิดของโขดหิน
โขดหินอุลูรูจริงๆแล้วเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขา ซึ่งจมอยู่ใต้ดินลึกลงไปถึง 6 กิโลเมตร โดยโขดหินนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นมหาสมุทรเมื่อประมาณ 550 ล้านปีที่แล้วตรงใจกลางทวีปออสเตรเลีย ต่อมาน้ำในมหาสมุทรลดลง เปลือกโลกก็เคลื่อนตัวดันให้โขดหินโผล่ขึ้นมา

ความเชื่อของชาวอะบอริจินี

ตำนานของชาวอะบอริจินีกล่าวไว้ว่าโขดหินอุรูลูเป็นภูมิประเทศเส้นทางแห่งความฝัน บรรพบุรุษสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยจูคูร์ปา (ยุคแห่งช่วงฝัน) ซึ่งเป็นพื้นพิภพกำลังก่อตัว ในยุคนั้นบริเวณแถบโขดหินอุลูรูเป็นถิ่นของมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้และมนุษย์งูคาร์เป็ต

ครั้งหนึ่งมนุษย์งูคาร์เป็ตถูกมนุษย์งูพิษรุกรานซึ่งพวกมนุษย์งูพิษเป็นศัตรูจากแดนใต้ และพวกมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือมนุษย์งูคาร์เป็ต โดยหัวหน้าเผ่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้โดยเจ้าแม่บูลาริก็ได้เป่าพิษร้ายแห่งความตายและเชื้อโรคเข้าใส่ศัตรู

นอกจากนี้ยังมีตำนานที่เล่ากันอีกว่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นี้ได้ถูกศัตรูรุกรานโดยการปล่อยหมาป่าดิงโก้ ออกมากัด แต่โชคดีที่มนุษย์ครึ่งกระต่ายหลบหนีได้เพราะสามารถกระโดดได้ไกลกว่า

และปัจจุบันนี้ชาวอะบอริจินีเชื่อว่าร่างของมนุษย์ครึ่งงูพิษถูกสาปให้กลายเป็นโขดหินอุลูรู และรอยน้ำไหลที่ด้านหนึ่งของหินเป็นรอยเลือด ส่วนรอยเท้ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นั้นที่ทิ้งไว้ขณะวิ่งหนีศัตรูได้กลายเป็นถ้ำทั้งหลายที่ฐานโขดหิน

สุดท้ายก็อยากจะบอกว่าบทความต่างๆที่ผมได้เรียบเรียงและนำมาเสนอนี้ส่วนหนึ่งก็คือทำตามใจชอบ ของกระผมเอง

ส่วนเนื้อหาบทความต่างๆก็หาเอามาจาก..วิกิพีเดีย บ้างจากที่อื่นๆ บ้าง ผสมปนเปกันไป หวังว่าบทความนี้พอจะมีประโยชน์และเสริมสร้างความรู้เล็กๆน้อยๆได้บ้างพอสมควร สุดท้ายนี้ก็มีคลิปจาก YouTube ประกอบให้ดูด้วย

คำชะโนด คืออะไร และการกำเนิดของคำชะโนด


คำชะโนด คืออะไร และการกำเนิดของคำชะโนด
คำชะโนด เมื่อเอ่ยแล้ว เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะต้องคุ้นเคยกันดี หรือที่รู้จักกันในนาม วัดศิริสุทโธ หรือวัดป่าคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่เชื่อกันว่าเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องแปลก เป็นดินแดนของพญานาคที่เต็มไปด้วยลึกลับ อาถรรพ์ และเกาะลอยน้ำ หรือเกาะคำชะโนดที่ไม่เคยจมน้ำ 

เนื่องจากมีพญานาคคอยปกป้องคุ้มครองตามความเชื่อที่มีมาแต่ช้านาน
สำหรับประวัติความเป็นมาและเรื่องราวที่ทำให้เรารู้จัก “คำชะโนด” นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2532 กับตำนานผีจ้างหนังมาฉาย โดยจะเป็นเรื่องราวเล่าขานถึงนาคที่ได้แปลกกายมาเป็นมนุษย์เพื่อที่จะจ้างหนังกลางแปลงไปฉายยัง ป่าคำชะโนด ด้วยเงินจำนวน 4,000 บาท 

โดยมีข้อตกลงว่าจะต้องฉายหนังให้จบแค่ตีสี่ ของวันใหม่และออกจากหมู่บ้านไปก่อนฟ้าสาง โดยที่ไม่กลับมามอง และเมื่อถึงเวลาฉายหนังก็จะมีคนจำนวนมากมานั่งดูสงบเรียบร้อย โดยที่ไม่มีการพูดคุยหรือแสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

ไม่มีของกินหรือน้ำมาขาย มีเพียงหญิงชายนั่งแบ่งฝั่งกันอย่างเป็นระเบียบเท่านั้น โดยเรื่องราวทั้งหมดได้ถูกนำไปถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์นั่นเอง รวมไปถึงในงานประจำปีของชาวบ้าน ที่จะมีการจัดงานเลี้ยงและดนตรีมหรสพมากมายนั้นก็จะมีนาคแปลงกายมาเป็นหญิงชายคนธรรมดา หญิงสาวจะแต่งกายเสื้อขาว ผ้าถุงสีกรมไปจนถึงสีดำ ส่วนผู้ชายก็จะมีการโพกผ้าสีแดงที่ศรีษะ
นอกจากนี้บริเวณเกาะลอยน้ำของคำชะโนดที่มีเนื้อกว่า 20 ไร่นั้น บริเวณรอบๆเกาะจะมีน้ำท่วมทุกปี แต่แปลกมากที่บริเวณคำชะโนดจะไม่มีน้ำท่วมเลยเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำนั่นเอง โดยทั้งหมดนี้ชาวบ้านว่ากันว่าเป็นเพราะพญานาคคอยปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากอันตรายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
สำหรับเรื่องคำชะโนดนั้นก็เป็นเรื่องราวความเชื่อตามตำนานของคนในพื้นที่ ที่พญานาคจะมีจริงหรือไม่นั้น จะสร้างปาฏิหาริย์ใดๆได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาและสิ่งที่หลายคนได้ประสบพบเชื่อได้ด้วยตนเอง

Tunnel of Love in Klevan ประเทศยูเครน

Tunnel of Love in Klevan ประเทศยูเครน
ทางรถไฟสุดมหัศจรรย์ ปกคลุมด้วย อุโมงค์ต้นไม้ สุดร่มรื่นแห่งนี้ เกิดจากการรังสรรค์ของธรรมชาติ ต้นไม้สองข้างทางโอบล้อมเข้าหากัน สร้างร่มเงาตลอดเส้นทาง

ได้รับการขนานนามว่าเป็น Tunnel of Love หรืออุโมงค์ แห่งรัก กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันดึงดูดใจ แม้จะอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่าง Kleven ประเทศยูเครน
เส้นทางรถไฟ ภายใต้ อุโมงค์แห่งรัก นั้น มีระยะทาง 3 กิโลเมตร มีรถไฟวิ่งผ่านเพียงไม่กี่ขบวน เพราะเป็นทางรถไฟส่วนบุคคลซึ่งใช้สำหรับวิ่งขนส่งสินค้าจากโรงงานไม้อัดแห่งหนึ่ง วันละ 3 เวลา

ในฤดูใบไม้ผลิ อุโมงค์แห่งรัก
จะได้รับการมาเยือนจากบรรดาคู่รัก เพราะถือเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีความโรแมนติก
Tunnel of Love in Klevan ประเทศยูเครน

Salar De Uyuni ประเทศโบลิเวีย ผืนฟ้าจรดผืนโลก

Salar De Uyuni ประเทศโบลิเวีย ผืนฟ้าจรดผืนโลก
ซาลาร์ เดอ อูยูนี (Salar de Uyuni) ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ห่างจากกรุงลาปาซเมืองหลวงของโบลิเวียประมาณ 185 ไมล์ สำหรับประเทศโบลิเวีย (Bolivia) นั้นนับว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ซึ่งโดยแต่เดิมนั้นโบลิเวียเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอินคา

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาก่อน ซึ่งโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆ และก็คงหนีไม่พ้น ทะเลเกลือที่ซาลาร์ เดอ อูยูนี ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ที่ราบเกลือ หรือทะเลเกลือลักษณะแบบนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ด้วยความที่ทะเลเกลือซาลาร์ เดอ อูยูนีนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว  ทำให้เราสามารถมองที่ราบสีขาวโพลนนี้ไปไกลสุดลูกหูลูกตาได้ด้วยความอะเมซซิ่ง

Panjin Red Beach ประเทศจีน


 Panjin Red Beachประเทศจีน
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น เมืองจีนจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง วันนี้เราขอเสนอ “หาดสีแดงแห่งเมืองผานจิ่น” (Panjin Red Beach) หาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองผานจิ่น (Panjin)
ในมณฑลเหลียวหนิง (Liaoning) ของจีน หาดแห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน – พฤศจิกายน)

เนื่องด้วยสภาพดินบริเวณนี้ค่อนข้างเค็มจัด
ส่งผลให้หญ้าที่อยู่บริเวณนี้เปลี่ยนสภายจากสีเขียวกลายเป็นสีแดงสด แต่จะเปลี่ยนแค่ในช่วงฤดูใบไม่ร่วงเท่านั้น

ส่งผลให้ชายหาดแห่งนี้กลายสภาพเป็น “หาดสีแดง” อย่างที่เห็นกัน หาดสีแดงแห่งเมืองผานจิ่น ยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของนกชนิดต่างๆ กว่า 200 สายพันธ์ เช่น นกป่า นกกระเรียน นกนางนวล เป็นต้น
Panjin Red Beach
ปัจจุบันหาดสีแดงแห่งเมืองผานจิ่น ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจีน และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาเยือน

เมืองแปลกๆ ที่ซ่อนอยู่ในใต้ก้อนหินยักษ์

เมืองแปลกๆ ที่ซ่อนอยู่ในใต้ก้อนหินยักษ์
วันนี้จะพาเพื่อนๆมาสัมผัสกับบรรยากาศ ของเมืองแปลกๆที่ตั้งอยู่ในประเทศสเปนกัน เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และน่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดด้วยหล่ะเหมียว ว่าแต่…จะแปลกสักแค่ไหนน้า ถ้าเรามาชมกันเลย
ภูเขาที่ถูกซ่อนอยู่ในสเปนแห่งนี้ น่าจะเป็นที่ที่แปลกที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตใช่ไหมหล่ะ สถานที่ตั้งของหมู่บ้านนั้น จะอยู่ภายใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ โอ้โห!! แปลกมากๆเลยทีเดียว
ที่แห่งนี้จะมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3,000 คน อีกทั้งยังเป็นที่ที่มีร้านอาหารและบาร์ที่ดีที่สุดในยุโรปอีกด้วยนะเหมียว ว้าว!! น่าลองไปสัมผัสสักครั้งจริงๆ
ส่วนพื้นที่จะอยู่ติดกับแม่น้ำ มีปริมาณน้ำฝนมากมาย แถมอากาศก็ยังเย็นสบาย และเป็นที่ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยอย่างยิ่งเชียวหล่ะเมี๊ยว
โดยบ้านหลายๆหลังส่วนใหญ่ ก็ถูกสร้างจากการใช้ผนังของก้อนกินยักษ์ มาทำเป็นกำแพง อั้ยย่ะ!!เจ๋งกว่านี้ไม่มีอีกละเมี๊ยว
และอาหารยอดนิยมของที่นี่ก็มีทั้ง ไส้กรอก น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง แยม และไวน์ เรียกได้ว่ามีแต่เมนูที่น่ากินทั้งนั้นเลย

ชั่งเป็นเมืองที่น่าแปลกสุดๆ และมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆนะเมี๊ยว
โอ้โห!! เรียกได้ว่าแปลกสุดๆ น่าอยู่ น่าเที่ยวมากๆเลยหล่ะ แหม!!เหมียวนี่อยากจะไปลองสัมผัสสักครั้งในชีวิตจุงเบยเมี๊ยว
ที่มา : liekr

Huangshan เทือกเขาที่มักปรากฏวรรณกรรมและภาพเขียนจีน

เขาหวงซาน เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีชื่อเสียงมาจากทิวทัศน์ที่งดงามของยอดเขาหินแกรนิตและต้นสนหวงรูปร่างแปลกตา และภาพของหมอกและเมฆที่ลอยอยู่ใกล้ยอดเขา บริเวณเทือกเขายังมีน้ำพุร้อนและบ่อน้ำร้อนธรรมชาติมากมาย เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หายากและถูกคุกคามหลายชนิด 
เนื่องมาจากความงดงาม จึงมักจะปรากฏภาพของเทือกเขาหวงอยู่ในภาพเขียนจีน หรือปรากฏชื่อในวรรณกรรมอยู่บ่อยครั้ง ปัจจุบันองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเทือกเขาหวงเป็นมรดกโลก และยังจัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในจีน

พืชที่ขึ้นอยู่ในบริเวณเทือกเขาหวงแตกต่างกันไปตามระดับความสูง ที่ความสูงต่ำกว่า 1,100 เมตร จะเป็นป่าชื้น ความสูงระหว่าง 1,100-1,800 เมตร จะเป็นป่าผลัดใบ และความสูงตั้งแต่ 1,800 เมตรขึ้นไป จะเป็นทุ่งหญ้าในลักษณะที่ขึ้นอยู่ตามที่สูง บริเวณเทือกเขามีพรรณไม้หลากหลายชนิด จากการสำรวจพบว่ามีพืชจำพวกพืชไม่มีท่อลำเลียงจำนวน 1 ใน 3 จากตระกูลที่มีอยู่ในจีน และตระกูลเฟิร์นถึงครึ่งหนึ่งจากจำนวนตระกูลทั้งหมดในจีน อยู่ในเทือกเขานี้
เนื่องจากยอดเขาคต่างๆมักจะอยู่เหนือระดับของเมฆ ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของก้อนเมฆได้จากยอดเขา และทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงอันน่าอัศจรรย์ ทั้งปรากฏการณ์ทะเลเมฆ และแสงพระพุทธ เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาชม น้ำพุร้อนบริเวณเทือกเขาหวงจะอยู่ที่ใต้ยอดเขาเมฆม่วง (Purple Cloud Peak) น้ำจากน้ำพุร้อนเหล่านี้จะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 45 องศา ตลอดทั้งปี  บ่อน้ำร้อนส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า Songgu Area
Huangshan


หมู่บ้านติดหน้าผาสุดหวาดเสียวในประเทศสเปน

หมู่บ้านติดหน้าผาสุดหวาดเสียวในประเทศสเปน
Castellfollit de la Roca เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ในจังหวัดกีโรนา แคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน ถือเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เล็กที่สุดในประเทศสเปน

หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาหินบะซอลต์ที่มีความสูงประมาณ 50 เมตร ลักษณะของภูเขามีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร บนภูเขาเต็มไปด้วยบ้านของประชาชน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากยังแคว้นกาตาลุญญา
แคว้นกาตาลุญญามีอาณาเขตจรดประเทศฝรั่งเศสและประเทศอันดอร์ราทางทิศเหนือ จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันออก จรดแคว้นบาเลนเซียและแคว้นอารากอนของประเทศสเปนทางทิศใต้และทิศตะวันตกตามลำดับ
Castellfollit de la Roca 


Santorini เมืองเล็กบนผาสูง

Santorini เมืองเล็กบนผาสูง
ซันโดรินี หรือ เธียรา (Thira) คือเมืองบนเกาะทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน ประเทศกรีซ
เป็นเกาะที่มีความกว้าง ประมาณ 16 กิโลเมตร เหนือจากระดับน้ำทะเล 567 เมตร ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามจนได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นเกาะอันดับสองของโลกที่พวกเขาอยากมา
ซึ่งมีสถานที่สำคัญอย่าง ยอดเขาโปรฟีติสอีเลียส (Profitis Ilias) ซึ่งเป็นจุดชมความงดงามของเกาะ
กว่า 2 ล้านปีที่ผ่านมา ภูเขาไฟซันโดรินีได้มีการปะทุอย่างต่อเนื่อง และมีการปะทุอย่างรุนแรงทุกรอบหมื่นปี ทำให้มีการสะสมของเถ้าถ่านและหินภูเขาไฟ เป็นหน้าผาสูงชันหลากสีสัน ซึ่งมีนักท่องเที่ยวพากันแวะเวียนมาชมไม่ขาดสาย
โดยเมื่อราว 3,600 ปี ก่อนคริสตกาล เกาะแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของชาวฟินีเชียน หลังจากนั้นชาวลาโคเนียนก็เข้ามาปกครอง จนกระทั่ง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ไมนอส ผู้ปกครองแห่งเกาะครีตได้แผ่ขยายอิทธิพลด้านศิลปะและวัฒนธรรมจากอารยธรรมไมโนนมายังเธียรา ถือได้ว่าเคยเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองและร่ำรวยในยุคสำริด

จากนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อภูเขาไฟได้ระเบิดขึ้นราว 1,650 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีเรียกการปะทุครั้งนั้นว่า ไมโนน (Minoan Eruption) ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์และกวาดล้างเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เชื่อกันว่าการระเบิดครั้งใหญ่ในครั้งนั้นทำให้เกาะเธียราที่มีลักษณะเป็นวงแหวนเกือบเต็มวง และมีตรงกลางค่อนข้างตื้น ได้แตกออกเป็น 3 ส่วน โดยวงแหวนด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือเกิดการทรุดตัวจมหายไปในทะเล
และนั่นเป็นสาเหตุให้ปล่องภูเขาไฟขยายออกกว้าง เถ้าถ่านฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ รวมถึงเกาะครีต ซึ่งอยู่ห่างไปราว 70 กิโลเมตร ไม่เพียงการได้รับแรงระเบิดรุนแรง แต่ยังเกิดคลื่นสึนามสูงกว่า 100-150 เมตร ถาโถมเข้าใส่ทางด้านเหนือของเกาะครีต กวาดล้างทั้งเกาะจมหายไปในข้ามคืน ส่งผลให้อารยธรรมไมโนนที่เจริญรุ่งเรืองล่มสลายลงไป
ในปี 1860 นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสได้ขุดพบอารยธรรมไมโนนอีกครั้ง หลังจากจมหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เกือบ 4,000 ปี โดยค้นพบอาคารบ้านเรือน วิหารเทพเจ้า หลุมฝังศพในหุบเขา โรงละคร และข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก
Santorini

เชื่อกันว่าหายนะที่เกิดขึ้นของเกาะครีตและหมู่เกาะไซคลาดิส เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพลโต ในการเขียนตำนานเรื่อง แอตแลนติส และนำไปสู่การบันทึกเรื่องราวน้ำท่วมโลกในคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ดังนั้นมันอาจเป็นหลักฐาน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแอทแลนติสที่สาบสูญ หรืออาจเป็นกุญแจเพื่อตามหาก็เป็นได้

รายการบล็อกของฉัน